เจย์ เจย์ โอโคชา ตำนานนักฟุตบอล ไนจีเรีย เผยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ทีมชาติ โมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์ใน ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศ กาตาร์
โมร็อกโก กลายเป็นทีมม้ามืดของจริง หลังสร้างประวัติศาสตร์ ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งมันเป็นหนแรก ของพวกเขาในบอลโลก
เจย์ เจย์ โอโคชา กล่าวว่า
”เมื่อคุณรักที่จะเล่นเพื่อชาติ มันไม่มีอะไรมาจำกัด สำหรับสิ่งที่คุณ สามารถทำได้ พวกเขา โมร็อกโก ทุ่มเททุกอย่างและก็ได้รับรางวัลของพวกเขา” โอโคชา กล่าวผ่านช่อง ซูเปอร์สปอร์ต ของ แอฟริกา
”นั่นก็คือความสวยงามของเกม คุณมีโอกาสถ้าเกิดคุณทำมันถูกต้อง ไม่ต้องนึกถึงเรื่องความเป็นดาวดัง, ไม่นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเคยประสบความสำเร็จมาก่อน”
”สิ่งที่สำคัญเป็น การแข่งขันที่อยู่ตรงข้างหน้าคุณ และก็พวกเขาก็ทำให้เห็นว่า หากคุณทำมันอย่างถูกต้อง คุณก็สามารถเอาชนะใครก็ได้”
”พวกเขามีความเป็นทีมสปิริต พวกเขาไม่มีซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ อยู่ในทีมของพวกเขา แต่สิ่งที่พวกเขามีนั่นเป็น ความสามัคคี”
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในรอบรองชนะเลิศ โมร็อกโก จะดวลกับ ฝรั่งเศส คืนวันพุธ ที่ 14 ธ.ค. นี้ เวลา 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
พ่อมดลูกหนัง เจย์ เจย์ โอโคชา
“โอโคชา” นักฟุตบอล แอฟริกา ที่ได้รับการยกย่อง น้อยกว่าความเป็นจริง ซึ่งเขาเป็นอดีตเพลย์เมกเกอร์ ทีมชาติไนจีเรียคือหนึ่งในนั้น เขาเต็มไปด้วยทักษะ และความสามารถเฉพาะบุคคล ที่เล่นงานคู่แข่งจนหัวหมุน สมกับราคานักเตะที่สวมหมายเลข 10
โอโคชาเป็นผู้เล่นที่เกิดมา เพื่อเป็นนักเตะเบอร์ 10 ตัวจริง เขาเป็นนักฟุตบอลที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถเฉพาะตัว และเทคนิคที่มีความแพรวพราว โดยเฉพาะการเลี้ยงบอล ทำให้ทุกครั้งที่เขาได้ลงสนาม ผู้คนจะได้เห็นลีลา การเล่นที่ตื่นตาจากเขา
“ผมชอบที่จะโชว์ทักษะของผมในสนาม คุณสามารถทำให้นักเตะคู่แข่งดูโง่ได้” โอโคชาอธิบาย
แน่นอนว่า เบื้องหลังความสามารถของตัวเขาล้วนมาจากชีวิตในวัยเด็ก เพราะการต้องเล่น ในพื้นที่แคบๆ ริมถนน บวกกับการต้องใช้ทักษะ ในการควบคุม บอลประดิษฐ์ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะกระเด้งไปทางไหน นั่นก็ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
“วิธีที่ผม ได้เรียนรู้ ในการเล่นฟุตบอล คือออกไปเล่น และสนุกกับตัวเอง ผมไม่รู้ว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นผู้เล่นอาชีพ” โอโคชากล่าวกับ Independent
“ที่ยุโรปมันต่างออกไป พวกเขาเล่นให้กับสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่ที่แอฟริกา มันไม่มีโอกาสนั้น เราแค่เล่นเพื่อสนุกกับมัน”
“มันกลายเป็นที่ที่ผมได้เรียนรู้การพลิกแพลงและเทคนิคของผม การได้ทำแบบนั้นในสนามแย่ๆ ก็ช่วยผมเช่นกัน”
และมันก็กลายเป็นอาวุธที่ใช้เล่นงานคู่แข่งจนหัวปั่น นักเตะหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของเขา ไม่เว้นแม้แต่ โอลิเวอร์ คาห์น ยอดผู้รักษาประตูระดับตำนานของเยอรมัน
มันเกิดขึ้นในปี 1993 ปีที่สองในบุนเดสลีกาของดาวเตะชาวไนจีเรีย ในขณะ แฟรงค์เฟิร์ต นำ คาร์ลสรูห์ อยู่ 2-1 ในช่วงท้ายเกม โอโคชา ได้บอลในกรอบเขตโทษ ก่อนจะจัดการล็อกหลบ คาห์น ถึงสองครั้งซ้อน แล้วล็อกหลบกองหลังคู่แข่งกลับไปกลับมาจนตามไม่ทัน ก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นซัดผ่านมือคาห์นเข้าไป
ราชันไร้มงกุฏ
แม้ว่าโอโคชา จะเป็นนักฟุตบอลที่มีประสบการณ์โชกโชน หลังเริ่มต้นค้าแข้งในยุโรปตั้งแต่อายุน้อย และผ่านการเล่นให้กับทีมในหลายประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับในระดับโลก การไม่ได้พิสูจน์ตัวเองกับทีมใหญ่ในท็อปลีกของยุโรป
เพราะถ้าไล่เรียงทีมในลีกใหญ่ที่โอโคชา เคยลงเล่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทีมระดับกลางของลีกในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์เฟิร์ต หรือ โบลตัน ที่ไปไกลที่สุดคือการลุ้นตำแหน่งพื้นที่สโมสรยุโรปเท่านั้น
จริงอยู่ที่เขาเคยเล่นให้กับทีมใหญ่ของประเทศอย่าง เปเอสเช หรือ เฟเนร์บาห์เช แต่สถานะของลีกฝรั่งเศสและตุรกี ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงแค่ลีกเกรดบีของยุโรป ทำให้แม้ว่าเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี
“บางทีความรั้นของผมที่พยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง ที่ไม่ได้มีราคาอะไร ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เซ็นกับสโมสรใหญ่”
นอกจากนี้ การที่เขาไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ ก็ยังเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยกย่อง เขาแทบไม่มีผลงานที่จับต้องได้ตอนอยู่ แฟรงค์เฟิร์ต ส่วนตอนที่เล่นในตุรกี ก็คว้ามาได้เพียงแค่ถ้วยนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเพียงถ้วยซูเปอร์คัพ
ขณะที่ในสีเสื้อ โบลตัน ที่ว่ากันว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตอาชีพของ โอโคชา เขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่ตำแหน่งรองแชมป์ลีกคัพ เช่นเดียวกับในทีมชาติ แม้จะพาทีมเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย แต่ไปไกลที่สุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
ทำให้เกียรติยศที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันที่สุด คือแชมป์ แอฟริกัน เนชั่นคัพ ในปี 1994 และเหรียญทองโอลิมปิก ในปี 1996 แต่ก็เป็นช่วงเวลา 6 ปีแรกในชีวิตนักเตะอาชีพ ซึ่งหมายความว่าในอีก 12 ปีหลังจากนั้น เขาแทบไม่ได้แตะความสำเร็จอะไรอีกเลย